Decarabian


Decarabian

ธาตุ

ลม

ภูมิภาค

Mondstadt

ฝ่าย

เทพ
Decarabian’s Mondstadt

สมญานาม

เทพเจ้าแห่งสายลม
เจ้าแห่งหอคอย
เจ้าแห่งลม
กษัตริย์ลมพายุ

เดคาราเบียน ผู้เป็นที่รู้จักในนามเทพเจ้ามรสุม เทพเจ้าพายุ เจ้าแห่งหอคอย และหนึ่งในกษัตริย์น้ำแข็งเยือกแข็ง เป็นเทพเจ้าผู้เคยดำรงชีพเมื่อเวลา 2600 ปีที่ผ่านมาและก่อตั้งประเทศมอนด์ชตัดท์เก่า เดคาราเบียนมีความหวงแหนนครหลวงของตนเป็นพิเศษ ถึงกับเสกม่านพายุกรดไว้ป้องกันหลังจากที่เทพเจ้าหมาป่าแอนเดรียสประกาศสงครามด้วยกับตน ปัจจุบันเมืองมอนด์ชตัดท์เก่ามีที่ตั้งอยู่ใน Stormterror’s Lair

เดคาราเบียนพิถีพิถันบริหารเมืองอย่างเป็นระบบระเบียบและเชื่อว่าตนเองปกครองเมืองอย่างผาสุขดีแล้ว หากทว่าเดคาราเบียนคาดไม่ถึงว่าประชาชนของตนไม่อิ่มเอมกับการถูกขังอยู่ในกรงพายุ และประสงค์อยากจะเห็นโลกภายนอกม่านลม มองเดคาราเบียนเป็นทรราชย์และสุดท้ายแล้วได้ก่อการกำเริบขึ้นในนามแห่งอิสรภาพ นำระบอบเดคาราเบียนมาถึงจุดจบ เดคาราเบียนสิ้นใจด้วยน้ำมือกลุ่มกบฎและการสละชีวิตของเทพหมาป่าแอนเดรียส ต่อมาวิญญาณวายุตัวน้อยๆที่คอยช่วยเหลือกลุ่มกบฎได้ขึ้นเป็นเทพและกลายมาเป็นเทพเจ้าวายุบาร์บาทอส ผู้เป็นหนึ่งในเจ็ดเทพเจ้า


เนื้อเรื่อง

เจ้าแห่งหอคอย

รายละเอียดชีวิตของเดคาราเบียนหรือที่มาใดๆก่อนถูกเทพหมาป่าแอนเดรียสประกาศสงครามนั้นแทบไม่เป็นที่รับรู้ เมื่ออารยธรรมที่ตนสร้างถึงจุดสูงสุด เดคาราเบียนขยายอาณาเขตไปจนถึงพื้นที่ Brightcrown Mountains และ Windwail Highland โดยมีถิ่นฐานใหญ่อยู่แถว Cecilia Garden เมื่อใช้ร่องรอยสถาปัตยกรรมใน Stormterror’s Lair เป็นหลักฐานแล้ว ดูเหมือนว่าเมืองของเดคาราเบียนจะเคยขยายตัวไปทางตะวันออกเฉียงเหนือและเฉียงใต้ ประตูทวารตะวันออกเฉียงเหนือถูกภูเขาปิดกั้น ในขณะที่ทางน้ำตะวันออกเฉียงใต้ถูกทำเขื่อนปิด ตัดขาดออกจากแม่น้ำส่วนที่เหลือ หลักฐานเหล่านี้สื่อว่าเมืองเก่าเคยมีการติดต่อกับภูมิภาคอื่นของ Teyvat ที่ยังสำรวจไม่ได้ และต่อมาถูกปิดทิ้งตอนเริ่มสงครามกับแอนเดรียสและเมื่อม่านพายุได้สำแดง

ยุคสองกษัตริย์

การที่แอนเดรียสและเดคาราเบียนหันมาสู้กันเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการปะทะเมื่อครั้งสงครามห้ำหั่นเทพ ในหนังสือประวัติศาสตร์เมืองมอนด์ชตัดท์ ยุคสมัยนี้มีชื่อเรียกกันว่ายุคสองกษัตริย์ โดยทั้งสองเทพถูกเรียกกันว่าเทพน้ำแข็งและเยือกแข็ง ไม่เป็นที่ทราบว่าเริ่มรบกันเมื่อใด แต่สงครามได้บังเกิดขึ้นเป็นการเรียบร้อยเมื่อเวลา 3000 ปีก่อน เท่ากับว่าสู้กันมาอย่างต่ำ 400 ปีก่อนจะสิ้นสุดลงเมื่อ 2600 ปีที่ผ่านมา

ในยุคสองกษัตริย์ แดนแห่งวายุได้กลายมาเป็นแดนน้ำแข็งรกร้างไปด้วยอำนาจแห่งเทพหมาป่า เดคาราเบียนแก้ทางด้วยการล้อมเมืองหลวงของตนด้วยม่านพายุไม่ให้คนเข้าคนออก ม่านพายุนี้แข็งมากถึงขั้นที่เทพแอนเดรียสผู้ทรงพลังไม่สามารถฝากรอยข่วนอะไรไว้ได้ ในมุมมองของเดคาราเบียนเองตนได้สร้างม่านนี้เพื่อทำให้ราษฎรปลอดภัยจากพิษความหนาวภายนอก

หากทว่าในสายตาประชาชนเดคาราเบียนกลับเป็นเจ้าผู้โหดร้ายเห็นแก่ตัวที่ล็อกพวกตนไว้ในเมือง เดคาราเบียนบริหารเมืองอย่างใกล้ชิดมาจนถึงขั้นที่จัดห้องหับเอาไว้ให้พสกนิกรด้วยตัวเองทุกห้อง และสั่งแบนโทนเสียงและทำนองเพลงที่แสดงถึงความกระด้างกระเดื่องใดๆ เดคาราเบียนมิได้มีความชั่วร้ายอะไรในจิตใจ แต่ด้วยความห่างเหินกับผู้คนจึงไม่เข้าใจสิ่งที่มนุษยชาติถวิลหา ตัวเองเชื่อว่าประชาชนรักตนคืนเท่าที่ตนรักประชาชน เพียงแต่ว่าเดคาราเบียนไม่ได้เข้าใจความรักในแบบของมนุษย์แม้แต่น้อย เชื่อว่ามนุษย์ยอมศิโรราบให้ด้วยความเคารพและเสน่ห์หา หากทว่าประชาชนหาก้มหัวให้เนื่องด้วยความปรีชาของเทพพายุไม่ หากแต่เพราะกรงพายุทำให้ไม่มีทางเลือก

การก่อการกำเริบ

2600 ปีที่ผ่านมา ความเหลืออดของประชาชนต่อระบอบเดคาราเบียนได้สร้างความคิดก่อกบฎขึ้น เพื่อเป็นการหลบสายตาสอดส่องของเดคาราเบียน กลุ่มนักปลดแอกต่างใช้รหัสลับว่า “วินด์บลูม” เป็นสัญลักษณ์แทนความสามัคคี ในที่สุดแล้วความคิดต่อต้านได้บานปลายขึ้นไปเป็นการกบฎเต็มรูปแบบ มีกลุ่มแกนนำที่ต้องการปลดปล่อยมอนด์ชตัดท์ขึ้นมาท้าทายอำนาจเดคาราเบียน ในจำนวนนี้มีนักกวีไร้นาม ดวงวิญญาณลมไร้นาม นางสาวเอมอสอดีตคนรักเดคาราเบียน อัศวินคนหนึ่ง (อัตลักษณ์ไม่แน่ชัด) และนักรบผมแดงเร่ร่อนนายหนึ่ง

ในเวลาหนึ่งก่อนการกบฎจะเริ่มขึ้น วงศ์ตระกูลกึนน์ฮิลเดอร์ทิ้งเมืองหนีหลังจากเกิดความรังเกียจระบอบเดคาราเบียน เมื่อบรรพบุรุษตระกูลกำลังกระเสือกกระสนเอาตัวรอกอยู่กับพายุหิมะนอกเมือง คำอธิษฐานของนางกึนน์ฮิลเดอร์ได้รับคำตอบรับจากดวงวิญญาณลมตัวน้อยที่อุตส่าห์รวบรวมพลังอันน้อยนิดเพื่อสร้างที่หลบภัยให้ เป็นการสร้างความศรัทธาที่วงศ์ตระกูลมีต่อดวงวิญญาณลม และศรัทธาของผู้คนยิ่งให้อำนาจกับดวงวิญญาณมากขึ้นไปอีก ดวงวิญญาณลมนี้ไม่มีอัตลักษณ์แน่ชัด แต่มีแนวโน้มว่าอาจจะเป็นบาร์บาทอส เมื่อการกบฎปะทุขึ้นในที่สุด วงศ์ตระกูลกึนน์ฮิลเดอร์ได้เข้าร่วมกับฝั่งนักปลดแอก

สักช่วงหนึ่งก่อนที่กึนน์ฮิลเดอร์จะหนีจากกรุงเก่าและเริ่มการกบฎ เทพเจ้าหมาป่าแอนเดรียสหาข้อสรุปได้ว่าชีวิตในมอนด์ชตัดท์มิอาจรุ่งเรืองได้หากพลังของท่านยังคงปกคลุมแผ่นดินด้วยพายุหิมะ ข้อสรุปนี้และความที่ท่านเชื่อว่าธรรมชาติหมาป่าของตนทำให้ไม่เหมาะสมกับการปกครองมนุษย์ และดังนั้นไม่มีสิทธิได้เป็นเทพเจ้าวายุองค์ถัดไป ทำให้แอนเดรียสเลือกจะทิ้งชีวิต ทิ้งให้กายหยาบแตกสลายและปล่อยอำนาจไหลลงไปคุ้มครองแผ่นดิน เป็นอันจบสิ้นพายุหิมะที่ปกคลุมทั้งภูมิภาค ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเดคาราเบียนรับทราบถึงการสิ้นใจของศัตรูคู่แค้นหรือไม่ แต่เมื่อกลุ่มกบฎลุกฮือขึ้นม่านพายุก็ยังคงสำแดงอยู่

กลุ่มกบฎได้เป็ฯฝ่ายกำชัยและเดคาราเบียนถูกสังหารลง ศพของเดคาราเบียนระเบิดหอคอยที่ตนพำนักไปหนึ่งเสี้ยว เมื่อเทพมรสุมสิ้นแล้วม่านพายุก็ถูกปัดเป่าหายไป เผยให้เห็นท้องฟ้าสีครามและกลุ่มกบฎได้เห็นโลกนอกเมืองเป็นครั้งแรก หากทว่าชัยชนะนี้มีค่างวดของมัน นางสาวเอมอสและนักกวีไร้นามกลายเป็นหนึ่งในศพผู้ที่ลุกขึ้นต่อต้านอดีตเทพเจ้า

เมื่อเทพเจ้าของมอนด์ชตัดท์ทั้งสององค์สิ้นไป ดวงวิญญาณลมได้ขึ้นเป็นเทพแทนในนามเทพเจ้าบาร์บาทอส เทพวายุในเจ็ดเทพเจ้า บาร์บาทอสใช้พลังใหม่ที่ตนมีสำแดงกายหยาบเป็นนักกวีไร้นาม เพื่อที่พระองค์จะได้เล่นพิณดังที่เจ้าหนุ่มน้อยเคยเล่น และอาจยังหยิบเกาทัณฑ์ขึ้นมาใช้ในนามของเอมอส เหล่ากึนน์ฮิลเดอร์ต่างเฉลิมฉลองรัชสมัยใหม่ขององค์เทพ หากทว่านักรบผมแดงไม่ถูกใจความเป็นไปใหม่และได้ทอดทิ้งเทพเจ้าองค์ใหม่ไป

องค์บาร์บาทอสทรงเปลี่ยนโฉมหน้าภูมิภาคมอนด์ชตัดท์ใหม่ ใช้พลังลมเป่าไล่กองหิมะและน้ำแข็งและเปลี่ยนสภาพผืนดินไปด้วยในเวลาเดียวกัน จากนั้นพระองค์จึงนำราษฎรไปยังแม่น้ำไซเดอร์เพื่อสร้างเมืองมอนด์ชตัดท์ใหม่ ทิ้งเมืองเก่าของเดคาราเบียนไว้ข้างหลัง

มรดกทางประวัติศาสตร์

เมื่อราชอาณาจักรฆานเรียห์กรีฑาทัพเตรียมทำสงครามกับเหล่าเทพ อาณาจักรได้พัฒนาหุ่นไถนาขึ้นมารุ่นหนึ่ง มีตัวต้นหนึ่งแบบที่มีแสนยานุภาพสูง หุ่นไถนาตัวนี้เข้าต่อกรกับร่างวิญญาณของเทพหมาป่าแอนเดรียส ก่อนจะได้รับความเสียหายหนักจากคมเขี้ยวเทพหมาป่าและถอนตัวไปยังกรุงเก่า ก่อนจะปีนขึ้นไปตั้งป้อมบนหอคอยเดคาราเบียน ซึ่งในเวลาประมาณหนึ่งปีต่อมาหุ่นตัวนี้เอาแต่ยิงกระสุนใส่ใครก็ตามที่เข้ามาใกล้เมือง ชาวมอนด์ชตัดท์ในขณะนั้นไม่คุ้นเคยกับฝนจรวดและระบบอาวุธเช่นนี้ต่างเชื่อว่าเป็นฝีมือของเดคาราเบียนและให้ชื่อเหตุการณ์ว่า “โทสะทรราชย์ทิ้งทวน” หลังจากที่หุ่นไถนาตัวเดิมหมดพลังงานและปิดระบบลง ชาวเมืองจึงค่อยกลับมาวินิจฉัยกันว่าไม่น่าเป็นฝีมือของเทพเจ้าวายุ

500 ปีที่ผ่านมา มังกรดวาลินต่อกรกับมังกรดุรินและถูกเลือดมีพิษของมันได้รับบาดเจ็บสาหัส ดวาลินจึงบินไปใช้หอคอยเดคาราเบียนเป็นที่พักฟื้นและหลับไป เมื่อดวาลินตื่นขึ้นมาพบว่าเมืองมอนด์ชตัดท์ลืมหน้าตัวเองแถมยังเกรงกลัวเสียอีก ควบรวมกับความเจ็บปวดจากพิษแผลส่งผลให้ภาคีอเวจีสามารถใช้กลลวงหลอกมังกรวายุว่าบาร์บาทอสและประชาชนได้ทรยศตนเสียแล้ว ดวาลินเข้าโจมตีก่อกวนเมืองมอนด์ชตัดท์และถูกตั้งฉายาใหม่ว่า Stormterror และกรุงเก่าเดคาราเบียนได้ถูกเรียกว่าเป็น Stormterror’s Lair

0 replies

Leave a Reply

Want to join the discussion?
Feel free to contribute!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *